Friday, 10 January 2014

ผู้เขียน : เตชินท์  แซ่ตั้ง  ห้อง 937  เลขที่ 34
โรงเรียน : เตรียมอุดมศึกษา 
ครูผู้สอน : ครู ประพิศ  ฝาคำ
เนื้อหา :
                            ก่อนที่จะมีการนำธนบัตรเข้ามาใช้ร่วมกับเงินตราชนิดอื่น ๆ ในระบบการเงินของประเทศ ชนชาติไทยได้ใช้หอยเบี้ย  ประกับ (ดินเผาที่มีตราประทับ) เงินพดด้วง  
ปี้กระเบื้อง  และเหรียญกษาปณ์เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน

หอยเบี้ย
(หอยเบี้ย ในวงศ์ Cyprinidae)
 หอยเบี้ย ได้มีการใช้มาตั้งแต่สมัยก่อนสุโขทัย และใช้กันแพร่หลายทั่วโลก จนกระทั่งสมัยรัชกาลที่สาม ขนะนั้นเศรษฐกิจดีมาก เกินภาวะเบี้ยเฟ้อ อีกทั้งทรงเห็นว่าการใช้หอยเป็นเงินมันบาป เป็นการฆ่าล้างโคตรหอยชัดชัด จึงทรงเริ่มเปลี่ยนไปใช้เงินโลหะตามแบบสิงคโปร์ แต่ก็สิ้นรัชสมัยเสียก่อน  ในสมัยรัชกาลที่สี่ มีการทำสนธิสัญญาเบอรนี่ย์ เศรษกิจไทยขยายตัวอย่างมากเงินไม่พอใช้ ทั้งพดด้วงแลหอยเบี้ย จึงทรงเปลี่ยนไปใช้เครื่องทำเหรียญจากอิงแลนด์แทน ประกอบกับการที่สินค้ามีราคาสูงขึ้น และหอยเบี้ยมีค่าน้อยมาก จึงไม่จำเป็น ตาม

๑๐๐ เบี้ย = ๑ อัฐ
๒ อัฐ = ๑ ไพ
๔ ไพ = ๑ เฟื้อง
 ๒ เฟื้อง = ๑ สลึง
 ๔ สลึง = ๑ บาท
๔ บาท = ๑ ตำลึง
๒๐ ตำลึง = ๑ ชั่ง

การใช้หอยเม่นจึงไม่จำเป็นอีกต่อไป

เงินพดด้วง
เงินพดด้วงของไทย เป็นเงินตราที่เป็น เอกลักษณ์ของไทย โดยเฉพาะไม่ซ้ำแบบของชาติใด มีค่าในตัวเอง เพราะทำด้วย โลหะมีราคา โดยมีน้ำหนักเป็นมาตรฐานวัดมูลค่า รูปทรงกระทัดรัด ทนทาน ผลิตด้วยมือ ทำจากแท่งเงินบริสุทธิ์ ทุบปลายทั้งสองข้าง ให้โค้งงอเข้าหากัน ทำให้มีรูปร่างกลมคล้าย ลูกปืนโบราณ ชาวต่างประเทศจึงเรียกว่า Bullet Coin ในสมัยอยุธยา ได้มีการ ประทับตราแผ่นดิน และตราประจำรัชกาลของพระมหากษัตริย์ แต่ละพระองค์ รวมเป็น ๒ ตราในเงินพดด้วงแต่ละอัน
รูปร่างลักษณะ   มีสัณฐานกลม มี ๖ ด้าน คือ ด้านบนใช้เป็นที่ตีตราปรจำแผ่นดิน ด้านหน้าเป็นที่ตีตราประจำรัชกาล บริเวณปลายทั้งสองข้าง ที่เป็นรอยผ่าบาก หรือประทับรอยเม็ดข้าวสาร ด้านหลังมักปล่อยว่าง ด้านข้างทั้งขวาและซ้ายเป็นรอยค้อนที่ตีลงไป เพื่อให้ของอ ด้านล่างมักใช้เป็นที่ประทับรอยเม็ดข้าวสาร
ขนาดและน้ำหนัก  มีตั้งแต่ หนึ่งบาท สองบาท สิบสลึง สี่บาท หรือหนึ่งตำลึง สิบบาท ยี่สิบบาท สี่สิบบาท และ แปดสิบบาท หรือหนึ่งชั่ง  แต่ที่ผลิตใช้กันมากคือขนาดหนึ่งบาท ที่ราคาต่ำกว่าหนึ่งบาท ในสมัยอยุธยามีขนาด สองสลึง หนึ่งเพื้อง สองไพ และหนึ่งไพ มาถึงสมัยรัตนโกสินทร์ยังมีขนาดสามสลึง และครึ่งไพอีกด้วย

เมื่อเงินพดด้วงและเหรียญกษาปณ์ไม่พอ ประกอบกับการที่เงินเบี้ยหอยเป็นการทารุณสัตว์โลก  พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดเกล้าให้ มีการใช้เงินกระดาษ หรือ หมาย เป็นครั้งแรกในประเทศไทย โดยออกใช้เมื่อ พ.ศ. 2396 และคงใช้ต่อมาทั้งสิ้น 3 รุ่น

ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ประกาศใช้ "ตั๋วกระดาษ" ราคา อัฐ เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2417 เพื่อใช้แทนเงินเหรียญกษาปณ์ที่ไม่เพียงพอต่อการใช้งาน ซึ่งเป็นที่มาของคำว่า "อัฐกระดาษ" ที่ใช้เรียกขานกันในหมู่ประชาชน ต่อมาในปี พ.ศ. 2432-2442 ทรงอนุญาตให้ธนาคารต่างประเทศที่เข้ามาเปิดสาขาดำเนินงานในประเทศไทย คือ ธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้ธนาคารชาเตอรด์แห่งอินเดีย ออสเตรเลีย และจีน และธนาคารแห่งอินโดจีน ให้สามารถออกธนบัตรของตัวเองได้ เรียกว่า "แบงก์โน้ต" หรือ "แบงก์" นับว่าเป็น "บัตรธนาคาร" รุ่นแรกๆ ที่มีใช้ในประเทศไทย จนถึงวันที่ กันยายน พ.ศ. 2445 จึงทรงให้ยกเลิก และประกาศใช้ "ธนบัตร" แบบแรกของประเทศไทยอย่างเป็นทางการ
ตัวอย่างหมายประเภทต่างๆ

ต่อมาระหว่างพุทธศักราช ๒๔๑๕ - ๒๔๑๖ ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เกิดปัญหาเหรียญกษาปณ์ชนิดราคาต่ำซึ่งเป็นเงินปลีกที่ทำจากดีบุกและทองแดงขาดแคลลน ประกอบกับมีการนำ ปี้ ซึ่งเป็นเครื่องหมายที่ใช้แทนเงินในบ่อนการพนันมาใช้แทนเงินตรา ในพุทธศักราช ๒๔๑๗ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงโปรดให้จัดทำเงินกระดาษชนิดราคาต่ำเรียกว่า อัฐกระดาษ ให้ราษฎรได้ใช้จ่ายแทนเงินเหรียญที่ขาดแคลน แต่อัฐกระดาษก็ไม่เป็นที่นิยมใช้เช่นเดียวกับหมาย


เงินกระดาษชนิดต่อมา คือ บัตรธนาคาร ซึ่งธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศสามธนาคารที่เข้ามาเปิดสาขาในประเทศไทย ได้แก่ ธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้ ธนาคารชาร์เตอร์แห่งอินเดีย ออสเตรเลีย และจีน และธนาคารแห่งอินโดจีน ได้ขออนุญาตนำบัตรธนาคารออกใช้ เมื่อพุทธศักราช ๒๔๓๒, ๒๔๔๑, และ ๒๔๔๒ ตามลำดับ เนื่องจากในช่วงเวลานั้นรัฐบาลประสบปัญหาไม่สามารถผลิตเหรียญกษาปณ์ได้ทันต่อการขยายตัวของระบบเศรษฐกิจ บัตรธนาคาร มีลักษณะเป็นตั๋วสัญญาใช้เงินชนิดหนึ่งที่ใช้อำนวยความสะดวกในการชำระหนี้ระหว่างธนาคารกับลูกค้า ดังนั้น การหมุนเวียนของบัตรธนาคารจึงจำกัดอยู่ในวงแคบเฉพาะบุคคลที่มีความจำเป็นต้องติดต่อธุรกิจกับธนาคารดังกล่าวเท่านั้น อย่างไรก็ดี บัตรธนาคารมีส่วนช่วยให้ประชาชนรู้จักคุ้นเคยกับเงินที่เป็นกระดาษมากขึ้น และเนื่องจากมีระยะเวลาการนำออกใช้นานกว่า ๑๓ ปี (พ.ศ. ๒๔๓๒ - ๒๔๔๕) ทำให้การเรียกบัตรธนาคารทับศัพท์ว่า แบงก์โน้ต หรือ แบงก์ ในขณะนั้น สร้างความเคยชินให้คนไทยเรียกธนบัตรของรัฐบาลที่ออกใช้ในภายหลังว่า แบงก์ จนติดปากมาถึงทุกวันนี้

ขณะเดียวกันรัฐบาลในสมัยนั้นได้พิจารณาเห็นว่าบัตรธนาคารที่สาขาธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศออกใช้อยู่ในขณะนั้น มีลักษณะคล้ายกับเงินตราที่รัฐบาลควรจัดทำเสียเอง ในพุทธศักราช ๒๔๓๓ จึงได้เตรียมการออกตั๋วเงินของกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ เรียกว่า เงินกระดาษหลวง โดยสั่งพิมพ์จากห้างกีเชคเก้ แอนด์ เดวรีเอ้นท์ (Giesecke & Devrient) ประเทศเยอรมนี จำนวน ๘ ชนิดราคา เงินกระดาษหลวงได้ส่งมาถึงกรุงเทพฯ เมื่อพุทธศักราช ๒๔๓๕ แต่เนื่องจากความไม่พร้อมของทางการในการบริหาร จึงมิได้นำเงินกระดาษหลวงออกใช้ สันนิษฐานว่าจากความขัดแย้งกรณีพื้นที่ฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขงระหว่างสยามและฝรั่งเศส และสยามต้องจ่ายเงินชดเชยให้แก่ฝรั่งเศสเป็นเงิน 3ล้านฟรังก์ เป็นเหตุให้เงินสำรองอาจมีไม่เพียงพอสำหรับหนุนหลังเงินที่จะนำออกมาใช้ รัฐบาลสยามได้ทำลายเงินกระดาษหลวงเพื่อป้องกันการถูกโจรกรรม แต่เหลือไว้บางส่วนเพื่อเป็นตัวอย่าง 

จนกระทั่งพุทธศักราช ๒๔๔๕ จึงเข้าสู่วาระสำคัญในการออกธนบัตร กล่าวคือ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีพระบรมราชโองการให้ตรา พระราชบัญญัติธนบัตรสยาม รัตนโกสินทรศก ๑๒๑ ขึ้นเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๔๕ อีกทั้งโปรดให้จัดตั้ง กรมธนบัตร ในสังกัดกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ เพื่อทำหน้าที่ออกธนบัตรและรับจ่ายเงินขึ้นธนบัตร และเปิดให้ประชาชนนำเงินตราโลหะมาแลกเปลี่ยนเป็นธนบัตรตั้งแต่วันที่ ๒๓ กันยายน พ.ศ. ๒๔๔๕ จึงนับว่าธนบัตรได้เข้ามามีบทบาทในระบบการเงินของไทยอย่างจริงจังนับแต่นั้นมา ธนบัตรที่นำออกใช้ตามพระราชบัญญัติธนบัตรสยาม รัตนโกสินทรศก ๑๒๑ นั้น มีลักษณะเป็นตั๋วสัญญาใช้เงินของรัฐบาลที่สัญญาจะจ่ายเงินตราให้แก่ผู้นำธนบัตรมายื่นโดยทันที ต่อมา ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติเงินตรา พุทธศักราช ๒๔๗๑ ซึ่งกำหนดให้เงินตราของประเทศประกอบด้วยธนบัตรและเหรียญกษาปณ์ ตลอดจนให้ธนบัตรและเหรียญกษาปณ์เป็นเงินที่ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย จึงเป็นการเปลี่ยนลักษณะของธนบัตรจากตั๋วสัญญาใช้เงินมาเป็นเงินตราอย่างสมบูรณ์

ธนบัตรยุคใหม่ 
ธนบัตรยุคใหม่ของสยามเกิดขึ้นตามอย่างการออกใช้ธนบัตรของประเทศอินเดียซึ่งถือหลักการตามกฏหมายของประเทศอังกฤษ ในปี พ.ศ. 2443 นาย W.J.F. Williamson เจ้าหน้าที่ประจำกระทรวงการคลังประเทศอินเดียจากประเทศอังกฤษ ได้รับหน้าที่ให้มาบุกเบิกการนำธนบัตรออกใชในประเทศไทย กฎหมายการเงินของไทยประกาศใช้เมื่อปี พ.ศ. 2445 และเริ่มสั่งพิมพ์ธนบัตรแบบหนึ่ง ล็อตแรกจากประเทศอังกฤษใน 2 ปีต่อมา
 
ประเภทของธนบัตร

ธนบัตรใช้หมุนเวียน

ธนบัตรใช้หมุนเวียน เป็นธนบัตรที่ใช้แลกเปลี่ยนประจำวันทั่วไป มีมูลค่าแลกเปลี่ยนตามราคาปรากฏในธนบัตร เมื่อมีการชำรุดเสียหายก็จะมีการพิมพ์ทดแทน ธนบัตรไทยที่ออกใช้ตั้งแต่แบบแรกเมื่อวันที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2445 จนถึงปัจจุบัน (พ.ศ. 2555)
ตัวอย่าง ธนบัตรที่มีการใช้กันในปัจจุบัน(บางอันอาจถูกยกเลิกไปแล้ว)
ห้าสิบบาท
หนึ่งร้อยบาท(ยกเลิกไปแล้ว)
และ ยี่สิบบาทแบบเก่า (ยังมีใช้อยู่)
ห้าร้อยบาท
หนึ่งพันบาท

ธนบัตรแบบพิเศษ

เป็นธนบัตรที่ออกใช้หมุนเวียนนอกเหนือจากแบบที่ใช้อย่างเป็นทางการข้างต้น ประกาศใช้งานระหว่างวันที่ 25 มกราคม 2485 ถึง 3 มิถุนายน 2489 ซึ่งเป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่เกิดการขาดแคลนธนบัตรใช้งานขณะนั้น

ธนบัตรที่ระลึกและบัตรธนาคาร

ธนบัตรที่ระลึกและบัตรธนาคาร เป็นธนบัตรที่ออกเนื่องในวาระสำคัญต่าง ๆ เช่น ธนบัตรที่ระลึกเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสฉลองสิริราชสมบัติ ครบ 60 ปี เป็นต้น มูลค่าแลกเปลี่ยนมักจะสูงกว่าราคาที่กำหนด ธนบัตรชนิดนี้จะพิมพ์ออกมาเพียงครั้งเดียวไม่มีการพิมพ์ทดแทน ส่วนบัตรธนาคารก็จะคล้ายกับธนบัตรที่ระลึก จะต่างกันที่การออกบัตรธนาคารกระทำโดยธนาคารแห่งประเทศไทย ไม่ใช่ออกโดยรัฐบาลไทย ซึ่งก็มีเพียงแบบเดียวที่ออกมาในรัชกาลปัจจุบัน คือ บัตรธนาคาร ชนิดราคา 60 บาท ที่ออกใช้เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2530 (ประกาศใช้ 3 มิถุนายน 2530)
เช่น แบงค์ห้าแสนบาท เนื่องในโอกาสครบรอบห้าสิบปีพระบรมราชาภิเษก เป็นต้น

แหล่งอ้างอิง
http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2011/11/K11370614/K11370614.html
http://heritage.mod.go.th/nation/potdeung/index1.htm